top of page

Great Minaret of the Kalon


ree

Great Minaret of the Kalon (มินาเร็ทแห่งคาลอน)

           มินาเร็ทแห่งคาลอน ตั้งอยู่ที่เมืองบูคารา (Bukhara) ประเทศอุซเบกิสถาน (Uzbekistan) ก่อนที่จะมารู้จักสถานที่แห่งนี้ เรามมาทำความรู้จักกับเมืองบูคารากันก่อนแล้วกัน

           บูคารา (Bukhara) เป็นเมืองโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย  เป็นจุดศูนย์กลางสำคัญทางการค้าบนเส้นทางสายแพรไหม เป็นจุดแวะพักของกองคาราวาน  เป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลามในเอเชียกลาง  เป็นเมืองมรดกโลกขององค์การยูเนสโก้        บูคาร่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ยังมีลมหายใจ  ผู้คนที่นี่ยังมีวิถีชีวิตไม่แตกต่างจากเมื่อหลายร้อยปีก่อน บรรยากาศในเขตเมืองเก่า ให้ความรู้สึกย้อนยุคเหมือนท่ามกลางขบวนคาราวาน ทั้งสภาพบ้านเรือน ร้านค้า การแต่งกายของผู้คน  ราวกับว่านาฬิกาได้หยุดเดินเมื่อห้าร้อยปีก่อน ณ นครแห่งนี้ ชื่อเมืองบูคาราเชื่อว่าอาจจะมาจากภาษาเปอร์เซียโบราณว่าบูคารัค (Bukharak) ซึ่งแปลว่าสถานที่แห่งความสุขความโชคดี บางตำราบอกว่ามาจากภาษาสันสกฤตว่าวิหารา (Vihara) ซึ่งก็คือวิหารในภาษาไทยนั่นเอง (จริง ๆ เสียง ค ควายในภาษาอาหรับจะออกคล้าย ๆ เสียง ฮ นกฮูก แบบขากเสมหะ บูคารา จะออกเสียงคล้าย ๆ บูฮารา ซึ่งคล้ายคลึงกับคำว่าวิฮาราหรือวิหารนั่นเอง) ที่มานี้มาจากความเชื่อที่ว่าดินแดนแถบนี้เคยเป็นเมืองที่ประชาชนนับถือพุทธศาสนามาก่อนที่อิสลามจะเข้ามามีอิทธิพลในคริสต์ศตวรรษที่ 8 เมืองนี้ถูกรุกรานและผลัดเปลี่ยนกันครอบครองหลายครั้ง ตั้งแต่กองทัพกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เปอร์เซีย มองโกล เติร์ก ใครมาทีก็เผาที  เผาแล้วก็สร้างขึ้นใหม่ตรงที่เดิม ทำให้พื้นดินและประวัติศาสตร์ที่นี่ซ้อนทับกันหลายระนาบ ยุคทองของบูคาราคือในศตวรรษที่ 10-12 เมื่อถูกปกครองด้วยราชวงศ์ซามานิดของเปอร์เซีย ในยุคนี้มีประชากรอาศัยหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียกลาง มีนักคิด นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงหลายท่านอาศัยอยู่ในบูคารา  เป็นคู่แข่งกับแบกแดดในด้านความเจริญและความเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม  ในศตวรรษที่ 13 เจงกิสข่านยาตราทัพจากทุ่งหญ้าทางตอนเหนือเผาทำลายทุกเมืองที่ผ่าน  จนมาถึงบูคาราซึ่งประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับเมืองอื่น ๆ เมืองทั้งเมืองถูกเผาทำลายจนราบ  ยกเว้นเพียงสามแห่งที่ไม่ถูกทำลาย ซึ่งเราจะได้เห็นกันต่อไป บูคาราค่อย ๆ ฟื้นตัว จนถึงศตวรรษที่ 16-18 จึงกลับสู่ความรุ่งเรืองสูงสุดอีกครั้ง ในยุคนี้มีการสร้างอาคารต่าง ๆ ขึ้นใหม่หลายหลังอย่างวิจิตรอลังการด้วยเทคโนโลยีที่มีในสมัยนั้นราวกับต้องการข่มอาคารที่สร้างมาก่อนหน้านี้ อาคารที่เราเห็นในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นอาคารที่สร้างในยุคนี้ทั้งนั้น


มาต่อที่มินาเร็ทแห่งคาลอนกันดีกว่า ตัวมินาเร็ทแห่งคาลอนนั้นตั้งอยู่ที่ Poi Kalyan Mosque เป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นมัสยิดประจำเมืองบูคารา  อีกด้านหนึ่งตรงข้ามกันเป็นมาดราซาที่ยังใช้การอยู่ แต่จุดเด่นที่สุดของจัตุรัสแห่งนี้คือหอคอยขนาดสูงใหญ่ที่เรียกว่ามินาเรต (minaret) ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของบูคาราแห่งนี้นั่นเอง  ในศาสนาอิสลามจะนิยมสร้างมินาเรตขึ้นข้าง ๆ มัสยิดเพื่อทำหน้าที่ประกาศเรียกให้ชาวบ้านในละแวกนั้นมาทำพิธีละหมาด 5 ครั้งต่อวัน  เรียกว่าการอะซานหรือการบัง  ภาษาไทยเลยเรียกมินาเรตว่าหออะซานหรือหอบัง คำว่ามินาเรต (minaret) มาจากภาษาอาหรับว่ามานารา (manara) ซึ่งแปลว่าประภาคาร  ฉะนั้นหน้าที่ของมินาเรตอีกอย่างคือทำหน้าที่ส่องไฟเพื่อบอกทิศทางหรือจุดหมายสำหรับกองคาราวานที่เดินทางยามค่ำคืน และสร้างให้สูงเพื่อให้มองเห็นได้จากที่ไกล ๆ ในเวลากลางวัน นอกจากนั้นยังไว้ใช้สังเกตการณ์เฝ้าดูข้าศึกในยามสงคราม  นับว่ามินาเรตเป็นสิ่งคู่กับมัสยิดเหมือนโบสถ์คริสต์ที่มักจะมีหอระฆังอยู่ข้าง ๆ กัน มินาเร็ทแห่งคาลอนสร้างในปี ค.ศ. 1127  คำว่าคาลอนแปลว่ายิ่งใหญ่  มีความสูงถึง 47 เมตร ฐานขุดลึกลงไป 10 เมตร มีการวางฐานรากอย่างดีเพื่อป้องกันแผ่นดินไหว  ที่ฐานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 9 เมตร แล้วสอบขึ้นด้านบนมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 เมตร  ตกแต่งเป็นแถบรอบมินาเรต มีทั้งหมด 14 แถบ ทำเป็นลวดลายเรขาคณิต แต่ละแถบไม่ซ้ำกันเลย  มีแถบหนึ่งเป็นกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินพร้อมจารึกภาษาอารบิกชื่อผู้สร้าง (บาโค) ปีที่สร้าง และชื่อของอัสลานข่าน (Arslan Khan) ผู้สั่งให้สร้าง  ภายในมีบันไดวน 105 ขั้นจนถึงยอดซึ่งทำเป็นช่องโค้ง 16 ช่อง  นับเป็นเวลาเกือบ 900 ปีที่มินาเรตแห่งนี้ยืนหยัดท้าทายกาลเวลาโดยมีการซ่อมแซมตกแต่งแต่เพียงภายนอกเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้จากรูปเป็นรอยสีอ่อนกว่าบริเวณอื่น นั่นคือจุดที่มีซ่อมแซมเมื่อปี ค.ศ. 1920 คาลอนมินาเรตคือสิ่งก่อสร้างแห่งที่สองที่ไม่ถูกทำลายโดยกองทัพเจงกิสข่าน  ตำนานกล่าวว่าเมื่อเจงกิสข่านมาถึงคาลอนมินาเรต เกิดลมพายุพัดหมวกปลิวหลุดจากศีรษะ เจงกิสข่านต้องก้มลงเก็บหมวกที่ฐานของมินาเรต  เจงกิสข่านจึงเชื่อว่ามินาเรตแห่งนี้ไม่ธรรมดาถึงกับทำให้ท่านต้องก้มหัวให้ ท่านจึงสั่งไม่ให้ทำลายในขณะที่มัสยิดและสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ โดยรอบถูกเผาเรียบ นอกจากนี่ยังมีจารึกภาษาอาหรับ ชื่อผู้สร้าง ปีที่สร้าง และผู้สั่งให้สร้าง ถ้าสังเกตดูลวดลายที่เป็นแถบ ๆ สร้างไม่ซ้ำกันเลย



ถ้าท่านใดมาเที่ยวอุซเบกิสถาน อย่าลืมแวะมาเที่ยวนะที่แห่งนี้นะครับ รัยลองท่านจะไม่เสียใจเลย


- จำไว้เพื่อได้เที่ยว

Comments


IMG_1072.JPG
About Me

ผมเป็นนักเดินทางสมัครเล่น ชอบท่องเที่ยว ชอบกิน ชอบถ่ายรูป และชอบเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ แต่ก็ใช่ว่าจะได้เที่ยวบ่อย จึงเกิดแนวคิดที่จะจัดทำเว็บไซต์ที่จะเปรียบเสมือนไดอารี่ บันทึกสิ่งที่ได้พบเจอ ได้สัมผัส ได้ลิ้มรส จากการท่องเที่ยว

 

Read More

 

© 2023 by Going Places. Proudly created with Wix.com

Join My Mailing List
  • Facebook - White Circle
  • Instagram - White Circle
  • Pinterest - White Circle
  • Twitter - White Circle
bottom of page